วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเรียกงานวันเกิดพระ (เทพเจ้าจีน) ให้ถูกต้อง



สำหรับคนจีนแล้ว งานคล้ายวันเกิดจะจัดได้ต้องมีอายุครบหกสิบปีนะครับ (แซยิด 生日)  เพราะว่า นั้นคือ งานครบรอบวันคล้ายวันเกิดจริงๆ เนื่องจากในระบบปีนักสัตว์ (ถ้าเขียนผิดขออภัยด้วย) ของจีนนั้น ประกอบด้วยสิบสองนักสัตว์ แต่ละนักสัตว์แบ่งเป็น ห้าธาตุ เช่น ผมเกิดปี วัวธาตุดิน (เรียกสั้นๆว่าวัวดิน) ต้องรอให้ครบ 12 ปี x 5 ธาตุ จึงจะครอบรอบปีวัวดิน ของผม

แต่สำหรับพวกเทพเจ้าเทวดาจีนนั้น แต่ละท่านมีอายุเป็นหลักร้อยปีพันปี จึงมีคำเฉพาะเรียกงานคล้ายวันเกิดของพวกเทวดาเหล่านั้น ซึ่งที่พบเห็นมีดังนี้ครับ

บ่านซิว (bān-siū) - 萬壽

ใช้สำหรับเทพระดับบิ๊กๆเท่านั้นครับ เช่น ซำเช้ง 三清道祖 เทพศาสดาของศาสนาเต๋า หรือ หยกอ๋องซ่งเต่ 玉皇大天尊 เทพเจ้าของเทพเจ้า แต่ในหนังสือที่ผมสะแกนมาให้ดูเป็นตัวอย่างนั้น พระเหี้ยนเที้ยนซ่งเต่ ก็ใช้คำว่า บ่านซิ่ว ด้วยนะครับ


เช้งชิว (chheng-chhiu) - 千秋

ใช้สำหรับเทพเจ้าชั้นสูง เช่น ระดับ เทียนเต่ 天帝 หรือ เต่กุน 帝君 เป็นต้นครับ เช่น เทพ 紫微帝君 (หนึ่งใน กิ้วอ๋องไต่เต่ งัย โปรดสังเกตว่ามีการใช้คำว่า 紫 ซึ่งแปลว่าสีม่วง มาใช้เป็นชื่อเรียกท่าน เพราะท่านเกิดตอนเริ่มแรกของการเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล หรือ บิ๊กแบง (ไท่จี๋) ครับ และแสงสเปรคตั้ม สีม่วงนั้นมีความถี่สูงสุด และให้ความร้อนสูงสุด ดังนั้น ศาสนาเต๋าจึงให้ความสำคัญกับสีม่วงมากๆๆๆ และเชื่อกันว่า เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ครับ ไม่ใช่สีขาวนะเออ ฮ่าๆ), 天皇大帝 (เที้ยนอ๋องไต่เต่ นี่ก็เป็นหนึ่งในกิ้วอ๋อง), ไท่อิดเทียนจุน 太乙天尊, 普化天尊, 東嶽大帝, 三官大帝 เป็นต้น


หัวต้าน hôa tàn หรือ หัวซิว hôa siū - 華誕,華壽

ใช้กับเทพเจ้าหรือ เซียนที่เป็นเพศหญิงครับ เทพธิดานางฟ้า นั้นเอง
อาทิเช่น 王母娘娘, 斗姆元君, 媽祖 เป็นต้น
แต่ตัวอย่างที่ผมสะแกน จะไม่เห็นใช้คำนี้เน๊อะ เดี๋ยวจะลองไปเปิดอีกเล่มดู เผื่อใช้ไม่เหมือนกัน

เซ้งต้าน sèng-tàn - 聖誕

ใช้กับเทพระดับอาจารย์ (師), เซียน (仙), ฤาษี (真人จินหยิน), นายพล จอมทัพ (天將,天君元帥เที้ยนกุน, หง่วนโซ่ย) หรือ บุคคลในประวัติศาสตร์ที่สำเร็จเป็นเทพ มียศศักดิ์ในสวรรค์ชัดเจน เช่น กวนกง 關公 หรือ งักฮุย 岳飛 เป็นต้น

tàn-sîn ต้านสิน หรือ ซิวต้าน siū tàn - 誕辰, 壽誕

ใช้กับเทพเจ้าทั่วๆไปได้ครับ แต่บางครั้งจะเห็นใช้กันมากโดยเฉพาะกับเทวดาเจ้าที่ 土地公 หรือเทพรักษาเมือง 城隍神 หรือ เทพเจ้าที่อยู่ในโลกของดินและน้ำครับ 地界水界諸神 (ในระบบเทวดาจีนจะแบ่งเป็นสามโลกคือ ฟ้า ดิน และน้ำ ครับ)

งานวันเกิดพระที่จัดกันส่วนใหญ่ที่ผมเห็นมา ส่วนมากผมจะเห็นเน้นการเข้าทรงซะมาก บางทีมีการดื่มเหล้ากันเป็นที่ครึกครื้นอีกด้วย

น้อยมากหรือแทบจะไม่เห็นเลยคือการประชาสัมพันธ์ คุณความดีของเทพเหล่านั้น และระลึกถึงความดีของท่าน เทวดาจีนส่วนใหญ่ตอนมีชิวิตเป็นมนุษย์ ต้องประสบกับความยากลำบากต่างๆนานา เพื่อบรรลุคุณธรรมความดี หรือ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันครับ

บทความนี้เขียนเมื่อ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทพประตูชาวดัทช์








รูปเทพเจ้าประตูที่เห็นเป็นฝรั่งสองคนนี้ อยู่ที่เมืองไท่หนาน ไต้หวันครับ ศาลเจ้านี้มีชื่อว่า 鹿耳門鎮門宮

รูปเทพเจ้าเฝ้าประตูชาวดัทช์นี้ วาดขึ้นเมื่อสามร้อยปีมาแล้วครับ หลังจากที่เจิ้งเฉิงกง 鄭成功 หรือ ก็อกแซ่เอี๊ย 國姓爺 ได้ทำสงครามขับไล่ชาวดัทช์ออกจากเกาะไต้หวัน แล้วก็ได้ให้ช่างวาดเทพเจ้าสององค์นี้ไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้

จะเห็นว่าเจ้าสององค์นี้ไม่มีรองเท้าใส่ครับ เพราะเป็นฝรั่งทำให้ไม่สามารถหาขนาดรองเท้าที่ชาวจีนใส่ๆกันได้ (จริงๆนะ) ก็เลยวาดเท้าเปล่าซะเลย เล่ากันว่าในช่วงปี ค.ศ.1950-1960 เทพเจ้าฝรั่งสององค์นี้มาเข้าฝันชาวบ้านแถบนั้นให้ช่วยหารองเท้าให้หน่อย เพราะทรมาณเหลือเกินกับที่ต้องไปไหนมาไหนเท้าเปล่า ความเจริญก็เข้ามาเรื่อยๆ เดินเท้าเปล่ามีแต่เชื้อโรค ดีไม่ดี เดี๋ยวเจอหวัดนกเอย พยาธิเอย มาเข้าฝันขอรองเท้าดีกว่า

ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็มีงานเฉลิมฉลองในการหาขนาดรองเท้าให้เทพเจ้าสององค์นี้ทุกปีครับ และในปี ค.ศ. 2008 ชาวเมืองไท่หนาน ก็จัดงานรับเทพเจ้าสององค์นี้เป็นประชาชนเมืองไท่หนานอย่างเป็นทางการ และให้ชื่อว่า 耳順 และ 鹿風 ครับ



ใครไปเที่ยววัดนี้ก็คงจะทราบความเป็นมาแล้วนะครับ ส่วนเทพเจ้าสไปเดอร์แมนเฝ้าประตูนั้น เอามาให้ดูแบบขำๆครับ 

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การใช้สีเสื้อคลุมกิมสิ้น (神像神袍顏色簡介)

土地公 - ในเสื้อคลุมสีน้ำเงิน (ภาพจาก http://www.taiwantoday.tw )


ปัจจุบันมีกิมสิ้นวางจำหน่ายในท้องตลาดเยอะมากนะครับ หลังจากที่มีกิมสิ้นแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะมีชุดหรือเสื้อคลุมให้กับกิมสิ้นของตัวเองที่นับถือ คำถามที่ผมจะโดนถามบ่อยๆคือ "จะต้องใช้ชุดสีอะไร" ให้กับกิมสิ้นของเรา

สำหรับระบบเทพเจ้าในศาสนาเต๋านั้น จะมีการระบุตำแหน่งลำดับขั้นอย่างชัดเจนครับ การจะใช้สีอะไรนั้นต้องให้ถูกต้องตามลำดับขั้นของเทพเจ้าองค์นั้นๆครับ ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ

1. หยกหองไต่เทียนจุน หรือ หยกหองซ่งเต่ (玉皇大天尊) - ใช้สีเหลือง หรือ สีม่วง ลายมังกร
2. อ๋องโบ้เหนียวเหนียว (王母娘娘) – ใช้สีเหลือง หรือ สีม่วง ลายมังกร หรือลายนกฟินิกซ์
3. อ๋องเอี๋ย หรือ เชียนโส่ย (王爺與千歲) – ใช้สีส้ม ลายธรรมดาทั่วไป
4. กวนกง หรือ กวนอู (關公) – ใช้สีส้ม, สีแดง หรือสีเขียว ลายมังกร
5. ปุนเถ่ากง หรือฮกเต็กเจี้ยสิน ถือไม้เท้าแบบธรรมดา(木手杖福德正神) – ใช้สีแดง หรือสีน้ำเงิน
6. ปุนเถ่ากง หรือฮกเต็กเจี้ยสิน ถือไม้เท้าหัวมังกร (龍頭手杖福德正神) – ใช้สีแดงหรือสีส้ม
7. ถ่อเต่กง และ ถ่อเต่โป๋ (土地公與土地婆) – ใช้สีน้ำเงิน หรือสีน้ำตาล
8. ม้าจ้อโป๋ (媽祖) – ใช้สีชมพู, สีส้ม หรือสีน้ำเงิน ลายมังกรหรือลายนกฟินิกซ์
9. เสี่ยหอง (城隍) – สีส้มหรือสีแดง ลายทั่วไป
10. จ่ายสิ๋น (財神) - สีส้มหรือสีแดง ลายทั่วไป
11. เตียวเทียนซือ (張天師) – สีส้มหรือสีม่วง ลายทั่วไป หรือลายยันต์แปดเหลี่ยม
12. ก่ำเที้ยนไต่เต่ (許天師或感天大帝) – สีส้มหรือสีแดง ลายทั่วไป หรือลายยันต์แปดเหลี่ยม
13. เหี่ยนเที้ยนซ่งเต่ (玄天上帝) – ใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม ลายมังกร
14. หง่วนโส่ย หรือ สิ๋นเจี่ยง (元帥與神將) – การใช้สีอะไรนั้นให้ขึ้นกับธาตุ หรือทิศ ของเทพนั้นๆไป ถ้าไม่แน่ใจก็ใช้สีแดงครับ

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทพเจ้าประจำแซ่ต่างๆ 各家姓氏崇祀祖佛


ข้อมูลนี้ได้เขียนแนะนำการกราบไหว้เทพเจ้าประจำตระกูลของแซ่ต่างๆไว้นะครับ อย่างไรก็ตามบางพื้นที่ บางตระกูลก็อาจจะมีความเชื่อที่แตกต่างกันไปนะครับ

各家姓氏崇祀祖佛
陳姓—開漳聖王-陳元光. 唐忠順王-陳邕
謝姓—廣惠聖王-謝安. 謝府元帥-謝玄
林姓—文財神-比干. 天上聖母-林默娘. 敵天大帝-林放
王姓—唐廣武王-王審潮. 武肅王-王審邽. 忠懿王-王審知
張姓—保儀尊王-張巡
郭姓—唐汾陽忠武王-郭子儀. 廣澤尊王-郭忠福
許姓—保儀大夫-許遠
蕭姓—蕭府太傅-蕭望之. 蕭府千歲-蕭何
丁姓—丁府八千歲-丁啟濬
徐姓—徐府千歲-徐懋功
吳姓—保生大帝-吳夲
楊姓—楊府元帥-楊延昭. 大德禪師-楊五郎
沈姓—武德尊侯-沈彪
蔡姓—蔡府千歲-蔡襄
岳姓—精忠武穆王-岳飛
李姓—太上老君-李耳
孔姓—至聖先師-孔丘
鄭姓—明延平郡王-鄭成功
施姓—清靖海侯-施琅
包姓—閻羅天子-包青天
趙姓—趙府元帥-趙子龍
薛姓—薛府千歲-薛仁貴
蘇姓—蘇府千歲-蘇東波

林姓--晉安郡王(林牧公)
劉姓--中山靖王(劉勝)
巫姓--巫府千歲
曾姓--宗聖公(曾參)
張姓--文昌帝君(張亞子)
黃姓--東嶽大帝(黃飛虎)、助順將軍(黃道周)
何姓--安撫尊王(何嗣韓)
李姓--太上道祖(李耳)、托塔天王(李靖)、中壇元帥(李哪吒)
許姓--昭應侯(許天正)、感天大帝(許遜)
孫姓--孫真人(孫思邈)
駱姓--駱府千歲
童姓--童瀨將軍(董仲穎)董童聯宗

台北金山-許姓 --唐宣威將軍-許天正
芳苑王功-林姓 --宋同安理學家-林希元
北港-柯蔡兩姓 --端明殿大學士-柯氏忠烈公 蔡氏忠惠公
屏東大埔.高雄茄萣.台南喜樹-郭姓 --三聖祖佛-老先生-陳姓 十二始祖-郭淑 三元真君-洪熹
義竹-翁姓 --安溪董公真人

大使公(王孫大使)-陳井陳姓(廈門灌縣)
-嘉義鹿草圓山宮、雲林東勢南天宮、彰化二林圓和宮
康濟明王(王審知)-蓮溪葉氏(廈門蓮阪)
東峰大帝(江萬里)-鹿陶洋江姓
里主尊王(施全)-鹿草施姓(今華封堂)
代天金帝 --太保水虞厝葉氏(葉祖厝)開基祖(葉覲美)

雲林斗南-李姓 --輔信王公-李百苗(為隴西宮,又名李祖廟)

彰化田中-謝姓 --謝安王爺、謝玄元帥(為寶樹宮,原名謝氏家廟)

彰化鹿港北頭-郭姓 --唐忠武王-郭子儀、廣澤尊王-郭忠福(為保安宮)
台南西港大竹林大塭寮-郭姓 --唐忠武王-郭子儀、廣澤尊王-郭忠福(為汾陽殿)

雲林台西-丁姓 --丁府八千歲-丁啟濬(為萬厝濟陽府,當地丁姓人家稱其為叔王)

source: http://tw.myblog.yahoo.com/jw!f3UkS_OQHw8etVHZI2xhF8k-/article?mid=6015&prev=6453&next=4564&l=f&fid=102

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

通书 - ถองสู้ ปฏิทินโหราศาสตร์จีน



สิ่งที่ผมมักจะได้ยินอยู่เสมอเวลาไปที่อ้าม(ศาลเจ้า) เวลามีม้าทรงใหม่ๆ ลงพระใหม่ๆ แล้วคนในศาลเจ้ามักจะพูดว่า "เปิดถองสู้ดูซิ ว่าพระนี้มีหรือเปล่า" หรือ "เปิดถองสู้ดูซิว่าประวัติพระนี่เป็นอย่างไร"

ผมก็อยากจะบอกโกๆ แปะๆ ในอ้ามนะครับว่า ถองสู้นี่มันไม่ใช่หนังสือประวัติเทพเจ้าจีนนะเออ ถองสู้ หรือ ถองซู ในภาษาจีนกลาง (通书 พินอิน tōng shū หมิ่นหนาน thong-su) นี่นะคือปฏิทินโหราศาสตร์นั้นเองครับ

ถองสู้ จะมีการพยากรณ์วันในปฏิทินจันทรคติของจีน ว่าเป็นวันดีหรือวันไม่ดี วันนี้ควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร ซึ่งคำแนะนำบางครั้งถ้าคนสมัยใหม่อ่านแล้วอาจจะดูว่าไม่มีเหตุผล ไม่เมคเซ็นส์ แต่ชาวจีนก็อาศัยถองสู้เป็นไกด์ไลน์ในการดำเนินชีวิตมาไม่น้อยกว่าสองพันปีมาแล้ว คำแนะนำในถองสู้นั้นสามารถนำมาใช้ง่ายๆในทุกๆวัน หรือ สามารถใช้พยากรณ์เหตุการณ์ หรือหาฤกษ์ยามในกรณีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ของบรรดาเหล่าซินแซทั้งหลายอีกด้วยครับ

ปัจจุบันถองสู้มีพิมพ์กันหลายเวอร์ชั่น หลายรูปแบบ แต่ที่หลักๆนั้นก็จะแสดง วันตามจันทรคติ พร้อมคำพยากรณ์ในวันนั้นสั้นๆ, เลขศาสตร์, รอบการพยากรณ์, เทศกาลต่างๆที่ตรงกับวันที่แสดง, สิ่งที่ควรทำ, สิ่งที่ไม่ควรทำ, ทิศที่ดีและไม่ดี และอื่นๆอีกมากครับ

ผมคิดว่าหลายบ้านก็มีถองสู้อยู่ในบ้านครับ ที่พบมากในบ้านเรา ผมเห็นเป็นของสำนักน่ำเอี้ยงครับ ผมว่าของแกครองตลาดอยู่เป็นเจ้าใหญ่เลยละ เดี๋ยวนี้สามารถดูถองสู้ออนไลน์ได้ ตามยุคดิจิตอลและยุคหวัดสองพันเก้า ลองเข้าเวบนี้ดูครับ ถองสู้ดอทคอม ฮ่าๆ http://www.tongshu.com/

หมายเหตุ: บทความเก่า เขียนเมื่อ Sep 27, '09 3:20 PM

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ที่มาของพิธีการเข้าทรงของคนจีน

เป็นอีกบทความที่เอามาเล่าใหม่จากเวบบล็อกอันเก่านะครับ ก็จะค่อยๆ ทยอยมาโพสไว้ในเวบครับ ขอบคุณครับ

การบูชาต่างกี่หรือการเข้าทรงของคนจีนนั้น ถือได้ว่าเป็นความเชื่อศาสนา ที่โบราณที่สุดของจีน พิธีกรรมทรงเจ้าต่างๆ ในปัจจุบัน คือ มรดกทางประวัติศาสตร์กว่า 5,000 ปี ของการปฏิบัติพิธีกรรมนี้

ต่างกี่หรือม้าทรง ในฐานะของสื่อกลางระหว่างเทพนักรบ หรือเทพบรรพบุรุษ ได้ถูกพัฒนาขึ้น จากความเชื่อของชาวชนเผ่าโบราณ ก่อนยุคที่มีความเชื่อทางศาสนาของจีน ซึ่งต้นกำเนิดสามารถสืบค้นไปถึงพิธีกรรมของชนเผ่าเย้า (瑤) (1) ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่บริเวณภาคใต้ของประเทศจีนในช่วง 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งมีพิธีทางเวทย์มนต์และจิตวิญญาณของชนเผ่าเย้าแบบหนึ่งที่เรียกว่า “การเต้นหยู” (Yu Step-禹步) ซึ่งเป็นพิธีของผู้ชายโดยการการเต้นรำเบื้องหน้าแท่นบูชา

การเต้นหยูนั้นถือได้ว่าเป็นการแสดงเวทมนต์ที่มีพลังมากที่สุดในศาสนาเต๋า การเต้นนั้นได้รับการพัฒนาจากชนเผ่าเย้า ซึ่งดั้งเดิมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางเวทย์มนต์ที่หมอผีได้กระทำขึ้นเพื่อให้มีอำนาจวิเศษและสามารถนำไปใช้ในการควบคุมสิ่งต่างๆ เช่น งูพิษ, ปลาผี และวิญญาณต่างๆ ซึ่งต่อมามีบันทึกว่าพิธีทางศาสนาของเผ่าเย้าได้ถูกซึมซับมาโดยชนเผ่าเย่ว์ (越) ซึ่งมีความเจริญต่อมาจนเป็นหนึ่งในนครรัฐอิสระของจีนในสมัยชุนชิว (春秋) (2) ยุคราชวงศ์โจว (周朝)

ปีที่ 306 ก่อนคริสกาล ในยุคจ้านกว๋อ(战国) (3) นครรัฐเย่ว์ ได้ถูกยึดครองโดยนครรัฐฉู่ (楚) โอรสองค์หนึ่งของเจ้านครรัฐเย่ว์ชื่ออู่จู (无诸)(4) ได้หลบหนีออกทางทะเลและได้ขึ้นฝั่งบริเวณใกล้เมืองฟู่โจว (福 州) มณฑลฮกเกี้ยน (福建) และได้สร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่โดยให้ชื่อหมิ่นเย่ว์ (闽越) โดยอาณาจักรหมิ่นเย่ว์ปักหลักเจริญรุ่งเรืองอยู่บริเวณตอนใต้ แถบเมืองเซี่ยเหมิน (厦门) ซึ่งในปัจจุบันเป็นจุดศูนย์กลางของชาวหมิ่นหนานหรือชาวฮกเกี้ยนและเป็นถิ่นกำเนิดของการบูชาต่างกี่จนถึงทุกวันนี้ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ข้างต้นนี้ นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าการลงเข้าบูชาต่างกี่ในปัจจุบันนั้นมีต้นกำเนิดมาจากการเดินหยูซึ่งเป็นพิธีกรรมทางศาสนาเผ่าเย้านั้นเอง

การรับเอาพิธีกรรมของชาวชนเผ่ามาเป็นของคนจีน

การสืบค้นที่มาของการบูชาต่างกี่นั้น สามารถสืบได้มาจากพิธีกรรมการบูชาบรรพบุรุษของชนเผ่าเย้าและพิธีกรรมการเดินหยู โดยได้ถูกซึมซับเข้าสู่วัฒนธรรมจีนโดยผ่านระบบศักดินาของนครรัฐเย่ว์ ก่อนที่จะมาพัฒนาเป็นรูปแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ณ มณฑลฮกเกี้ยนของจีน ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจของอาณาจักรหมิ่นเย่ว์โบราณ

เมื่อต้นแบบของพิธีกรรมการเต้นของเผ่าเย่ว์ ซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าโบราณ ได้ถูกซึมซับมาเป็นพิธีกรรมของชนชาติจีนอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นมันจึงได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิธีกรรมของจีน ผ่านทางตำนานที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน โดยตำนานกล่าวว่า พิธีการเต้นหยูนั้นเป็นการคิดค้นโดยต้าหยู (大禹)(5)ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของกษัตริย์ในตำนานของผู้สร้างจักรวรรดิจีน และได้รับการนับถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เซี่ย (夏) ซึ่งเป็นต้นแบบราชวงศ์ของจีนในยุคต่อมา ที่สำคัญก็คือ กษัตริย์หยู คือวีรบุรุษในตำนานของชาวเย่ว์อีกด้วย โดยชื่อต้าหยู (大禹) นั้นมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรหมิ่นเย่ว์ (闽越) ผ่านทางอักษร 虫 (ฉง) ซึ่งแปลว่าหนอน และยังนำอักษรตัวนี้มาเป็นส่วนประกอบของอักษร 蛇 (เสอ) ซึ่งแปลว่างู และงูก็เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของชาวเผ่าเย้าอีกด้วย

ภาพการประกอบพิธีของหมอผีชาวเย้า(เมี่ยน) ทางภาคเหนือของประเทศไทย

หน้ากากรูปเทพเจ้าที่พระชาวเย้าใช้ประดับบนศีรษะขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ภาพจาก http://www.nomadsjourney.com

อรรถธิบาย

(1) ชาวเย้า瑤族 หรือชาวเมี่ยน ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติ มองโกลอยด์ คืออยู่ในตระกูลจีนธิเบต ได้ปรากฏครั้งแรกในเอกสารบันทึกของจีน สมัยราชวงศ์ถัง โดยปรากฏในชื่อ ม่อเย้า มีความหมายว่าไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด เล่ากันว่า เมื่อประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้วบรรพชน ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบรอบทะเลสาปตงถิง แถบแม่น้ำแยงซี ยอมอ่อนน้อมให้ชนชาติผู้ปกครองรัฐ และไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การบังคับกดขี่ของรัฐ จึงได้ทำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาสูง ได้ตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูกขนานนามว่า ม่อเย้า ซึ่ง เหยาซีเหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซูต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง คำเรียกนี้ี้ถูกยกเลิกไปเหลือแต่คำว่า "เย้า" เท่านั้น

(2) ยุคชุนชิว(春秋時代) ประมาณ 770 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 476 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคหนึ่งในราชวงศ์โจว ราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน นับเป็นยุคสมัยที่ได้รับการกล่าวขานอย่างมากในแง่ต่าง ๆ เนื่องจากเป็นยุคที่นครรัฐแต่ละรัฐรบด้วยด้วยกลอุบายที่แยบยล ก่อให้เกิดเป็นตำนานและเรื่องเล่าขานมากมายจนปัจจุบัน และเป็นต้นเรื่องที่ทำให้เกิดวรรณคดีจีนเรื่องสำคัญอีกเรื่อง คือ เลียดก๊ก ซึ่งการรบในยุคเลียดก๊กนั้นหลายเรื่องได้ถูกอ้างอิงในสามก๊กที่เกิดหลังจากนี้อีกนับพันปีต่อมา

(3) ยุคจ้านกว๋อ(战国时代) หรือ เลียดก๊ก (475-221 ปีก่อนค.ศ.) เป็นยุคย่อยยุคที่ 2 ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก ต่อจากยุคชุนชิว โดยในยุคนี้เป็นยุคที่เหลือแคว้นใหญ่ที่ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันเพียง 7 แคว้น คือ ฉู่, ฉี, หาน, เอี้ยน, จ้าว,เว่ย และฉิน โดยทั้ง 7 แคว้นนี้ทำสงครามกันมายาวนาถึง 255 ปี ก่อนที่ฉินหวางเจิ้ง(ฉินอ๋องเจิ้ง)จะรวบรวมแผ่นดินจนเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จเมื่อ 221 ปีก่อนค.ศ.

(4) 閩越王 - 無諸 史记•东越列传:闽越王无诸及越东海王摇者,其先皆越王勾践之后也,姓驺氏 - http://zh.wikipedia.org/zh/无诸

(5)กษัตริย์อวี่ (禹) มีชีวิตอยู่ในช่วง 2194 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 2149 ปีก่อนคริสตกาล เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ย (夏) ซึ่งนับเป็นราชวงศ์แรกของประเทศจีนที่มีการสืบราชบัลลังก์โดยสายเลือด เชื่อกันว่าเกิดที่หมู่บ้านเป่ยฉวน (北川) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมณฑลเสฉวน (四川) ได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ ห้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีน (三皇五帝) เดิมเขาเป็นขุนนางในสมัยที่พระเจ้าซุ่นเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศจีน มีผลงานที่โด่งดังคือการคิดค้นระบบชลประทานเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม
อ้างอิง

1) Margaret Chan - THE ORIGIN OF TANG-KI WORSHIP
2) http://www.pbs.org
3) http://www.peoplesoftheworld.org
4) http://www.nomadsjourney.com
5) http://www.tribalartasia.com
6) http://www.mekongantiques.com
7) http://zh.wikipedia.org

*** บทความนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แก้ไขล่าสุด 29 nov 2010 ***
เรียบเรียงโดย cyberjoob@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

TaiChi Theory 13 Q&A




By grandmaster Huang Sheng Shyan
Contributed by Dr. Arnold Lee, 2000
Maryland Tai Chi Chuan Center.
1) Question: Are there different schools or sects of Tai Chi?
Answer: Tai Chi Embodies a comprehensive set of knowledge, developed and handed down by our learned predecessor with mystifying principles and profound philosophical learnings. The Tai Chi movements are scientific as the principles are based on scientific fundamentals.

Our predecessors developed the art for improving human health, warding off sickness, slowing down the aging process, achieving longevity and defending one self. All this benefits mankind and society. Good character formation is promoted. An adherent imbibed with the Tao (or philosophy as a way of life) of Tai Chi would contribute towards proper governance of the country and universal peace.

Tai Chi is not a martial art meant for bragging and antagonistic purposes. A Tai Chi exponent would need to understand the principles and philosophy of Tai Chi. No one should deviate from these principles and philosophy. The movements can be developed and modified but the principles are eternal. The external forms may differ from person to person but the principles are standard and unvarying. Because of this, there is no basis for differentiation by schools. Instead, a spirit of a single family should prevail. Common interest of art should take precedence over personal interest. An open attitude should emerge, bearing in mind the spirit of the founder and the predecessors to propagate the philosophy of Tai Chi throughout the world so as to improve the health of mankind.

2) Question: How should we practice Tai Chi in order to reach accuracy? 
Answer: The gap between accurate and non-accurate achievement is wide. Remember the words of the old master, Wang Tsung Yueh that the body must be naturally and vertically balanced bearing in mind the principles of being relaxed, rounded and awareness of the various parts of the body. During practice of the set movements, one must be careful, conscious or alert, observant, and must feel where one is moving. Otherwise there is form without substance and deception to people. To achieve accuracy, the principles of Tai Chi must be followed in addition to correct methods of practicing. A good master is necessary coupled with one’s own constant research. The art must be learnt progressively having to be on firm ground first before advancing to the next step.

Personal requirements are also important. One must be determined, confident, persevering and motivated. A secure means of livelihood and having normal environment coupled with single-mindedness, constant learning and practice and clear understanding of the principles thoroughly - all this will lead to achievement of accuracy. This is in contrast to those who want to learn fast, who concern themselves with the external forms and who learn and practice sporadically. Those hope to learn first and be corrected later not realizing that it is worse than having a new person learning from scratch. Others take the principles of Tai Chi lightly or superficially and liken the art to a common exercise, drill or dance. All this has form but no substance. One’s body must be likened to a perfect machine where a wrong spare part will affect the operation of the machine. The founder of Tai Chi has said, "Achieving the Tao is important, acquiring skill in the art is secondary; not learning my Tao, he is not my student." Therefore also important would be honesty and righteousness or a good moral character.

3) Question: There are different forms of Tai Chi. Are the principles different?
Answer: The founder created the art. But through the years, the forms of Tai Chi have differed: some have 24 basic movements while others have 37; some have 64 set movements and some have 72 while others have 108 movements or even 124. There are long sets and short sets. Movements have been large and expansive and have been small and compact. Some emphasized high postures others opt for low ones. Some practice slowly, others practice at a faster pace. All this divergence is written by men.

What is important is that the principles remain the same. Different masters with different temperament have been following the basic principles through the ages. They have engaged in continuous research and training. They have reviewed and improved the art until the ultimate objective is achieved where form becomes formless, limbs are no more important, brute force becomes non-existent and stiffness has given way to being fully relaxed. Character formation has advanced to the sage of "non-self" and of non-resistance so that the whole body is used and hands are no more used as hands. Youthfulness and longevity are attained.

It is not easy to master correct forms as the chi and the principles of the art are internally harmonized. Harmonization is also to be achieved between the upper, middle, and lower parts and between the left and right of the body. Even though difficult it is relatively easier to master correct forms compared to acquiring skill in the art. This is so as in training or practicing there are a number of normally undetectable parts of the body that are difficult to keep under control from the aspects of speed, timing, rhythm, and balance. Because of this, skill in the art is difficult to acquire. But then as the founder says, "Understanding one portion of the art would mean being enlightened on all portions or parts. Then all schools and sects become one."

4) Question: Is it better to practice Tai Chi more frequently or less frequently? 
Answer: There are no extremes in Tai Chi. The essence is in the training method. If the method is not correct, it is no different from ordinary drills with a lot of time spent but relatively little achievement. So it is not a question of practicing more or less frequently but practicing correctly. That is, the central equilibrium must be vertically maintained. Every movement must be disciplined such that the posture is vertically balanced. The principles remain unchanged: There is straightness in a curve and vice versa. There must be constant learning and practice, understanding the principles and the less obvious points. Mastery of this will produce skill naturally. There is no question, therefore, of practicing too much or too little but rather of practicing correctly.

5) Question: Is it correct to practice the art fast or to practice it slow? 
Answer: The earth rotates at a constant and specific rate. Similarly, Tai Chi should not be practiced too slow or too fast but should be practiced comfortably. The human body must be moved naturally otherwise there would be weakness. If the practice is too fast, breathing is affected resulting in uneven respiration, breathlessness and the heart pulsating too fast. If the practice is too slow, the limbs and the joints become stiff. Chi is blocked and is locally stagnant: intent or consciousness is employed but the Chi is not flowing. Internal force and chi must be synchronized. Internally, there is the harmony of the libido, energy, chi, and spirit while externally, the mind, consciousness (or intent) and body are also harmonized and in turn both the internal and external harmonies are synchronized.

Muscles must be relaxed and all parts of the body are naturally without tension. It is not possible therefore to say practicing fast is correct or practicing slow is correct as this has to be based on the standard or level of achievement of the student. One must practice until the whole body is relaxed and comfortably balanced. Once there is internal and external synchronization, then the question of slow and fast in practice is unimportant. At this stage, one gets the feelings that the upper portion of the body is like the drifting of clouds and the lower portion is like the flowing of water. Consciousness is continuous and is harmonized with movement. All parts of the body are natural and are unified. There is then no question of being fast or slow.

6) Question: Is it correct to have either high or low postures in the set movements of Tai Chi?

Answer:
 The art of Tai Chi does not distinguish high and low postures, but is rather based on the idea of four "balances" or equilibriums:

1) balance in the magnitude of the posture or movement such as both sides of the body must have "balanced" amount of spatial displacement when moving;
2) accuracy or precision achieved simultaneously by all parts of the body;
3) bodily balance when moving or turning
4) steadiness particularly when moving.

External and internal balance or harmony must be cultivated where there is no slanting of the central axis of the body. When hind force is invoked, the hind knee being bent will move up or straighten slightly though the height of the body remains unchanged. This is so as consciousness (or intent) and chi would "close" centrally instead of coming up while the bended knee is used to adjust accordingly. Consciousness is used to lead the muscles in relaxing. Joints, muscles and ligaments must then be loosened, relaxed, and "thrown" open but still linked. The body is then erect and comfortable. Consciousness is also used to "move" Tai Chi principles to all parts of the body. Having achieved "four balances and eight steadiness," the question of high and low postures is then answered individually.

7) Question: How can substantiality and insubstantiality be distinguished between left and right or between top and bottom parts of the body?

Answer: 
The muscles, the skeleton, and the nerves are parts of the body system. When practicing movements, the use of consciousness to sink and relax the body is most important. The center of gravity is moved while preserving the uprightness of the central axis of the body. It is important to focus on steadiness, tranquillity, relaxation, and rootedness. The internal movements propel the external movements in a continuous or uninterrupted fashion. Internal force is generated with turning movements. After a long time, the whole body is in balance. When left and right is distinguished, one is substantial and the other insubstantial along the pattern of "cross alignment." For example, together with the distinction between top and bottom parts of the body, when the left upper part of the body is substantial, the left lower part is insubstantial and similarly when the right upper part of the body is substantial, the right lower part is insubstantial.

This pattern of cross alignment is used in shifts of the center of gravity from one leg to the other. This is similar to the "cross-roads" of the nervous system. When moving chi, therefore, one must separate substantial from insubstantial, move the step without moving the body or moving the body and not the hand. If in moving a step, the body also moves, then it is not separating substantial from insubstantial. If in moving the body, the hand also moves, then the shoulder and the hands are not relaxed. It is important to follow the principles of using consciousness to propel movement. The top and bottom, left and right portions of the body must be coordinated. A rounded grinding stone may move but the center is not moving. All the parts of the body become one system characterized by lightness and agility, roundness and smoothness, even respiration, alternate opening and closing like that of the sea where with movement from one part of the sea, all parts are also moved. The movements are guided by consciousness and are properly regulated like the regular movements of the waves in the sea.

8) Question: How should the movement be practiced in order they can be usefully applied?

Answer: 
Take the five loosening (or relaxing) exercises as an illustration. These exercises are based on Tai Chi principles. During practice there must be full concentration since any distraction will nullify any effects. Bear in mind the 3 points of non-mobility: the head which must be locked onto the body, the hands which must not move of its own volition and the soles of the feet which must be still and rooted to the ground. Consciousness (or intent) will lead the chi along. Steps are made without affecting or moving the body. Turning movements start from the waist and hips with hands propelled from the waist and hips in accordance with the principle that all movements originate from the waist. Principles must be understood and no movements are separated from the principles. Once you make it internally you are also "through" externally. Once you are fully relaxed, you can change according to circumstances and can therefore, neutralize an oncoming force. You would have reached that position of "non-self" where the whole body is the weapon and hands are no more used as hands. If you are not able to usefully apply your movements then you still have not understood the basics of the five relaxing exercises. If you have not mastered the essentials, then there is no point of talking about application of the movements.

9) Question: What is the rationale for relaxing the abdomen and withdrawing the coccyx (or tailbone)?

Answer:
 Chi is stored in the Tan Tien as a result of using consciousness to sink the chi to this point. From here chi should circulate to the whole body. If chi just remained in the Tan Tien, then the abdomen will have the sensation of being stuffed. Only when chi circulates throughout the body will the abdomen be relaxed and pliable. After a time, the abdomen will acquire some "bouncy" or "springy" effect and chi would have been circulating to the whole body. Chi can be occluded or absorbed into the backbone. The Song of Thirteen Postures says, "If the abdomen is thoroughly relaxed, then the chi will rise." So do not just store the chi in the abdomen otherwise it will simply bloat. Having the coccyx withdrawn means there is no protrusion of the buttocks while making sure at the same time that the hip joints are not "sliding" forward. This must be combined with relaxing the abdomen and both requirements must be met at the same time. Otherwise, there is no rootedness while the waist is stiff resulting in vertical imbalance or disequilibrium. It is important to maintain the uprightness of the central axis of the body in order to achieve central equilibrium. A test can be made as follows to see whether all this has been done correctly all along: use one thumb to press the abdomen and release the thumb suddenly. There should be a bouncing or springy effect of the abdomen. At the same time, the seat of the buttocks behind should be very soft to the touch.

10) Question: What is the true spirit of Tai Chi?

Answer:
 Good and famous masters of Tai Chi teach the same stuff but students will learn differently. This is because students differ in their natural endowment and physical make-up. The real acquisition of the art is not in just mastering the external forms but also in mastering the principles and philosophy. The learner must also be a man (or woman) of reason having learnt, practiced and understood the art successfully, he (or she) applies those principles and philosophy to daily life. He (or she) is wholeheartedly devoted to Tai Chi. He (or she) shares the founders spirit of striving for humankind to me physically and mentally healthy. This would be the true Tai Chi spirit.

11) Question: How many times must we practice the set movements everyday?

Answer: 
The important principle is moderation. The practicing technique must be correct in the first place. Some people say you must practice the whole set of movements ten times a day with one set lasting about 25 minutes. This only focuses on quantity and is wasting Chi and energy. It is contrary to the basic principles of Tai Chi succeeding in only making you sweat and reducing weight. It is not beneficial to the development of the internal force, internal organs or generally the body internally. Grandmaster Cheng Man Ching has said, " I practice the mobilization of the internal force and chi using the 37 basic movements every day. One set of movement lasts only 7 minutes." Practicing too much or too little is subject to whether it is practiced correctly or not. Utilizing my experience and following my practicing technique, students are encouraged to practice every morning and evening using about 5 minutes to practice a particular movement or posture (dividing each of them into 2 parts) over and over again. Those students who do so are likely to succeed.

12) Question: Some students have been learning and practicing Tai Chi for several years and are yet unstable. Why is this so?

Answer: 
A lot of students are using wrong learning and practicing technique. Students must start with understanding the Tao or philosophy, then the principles, then using the correct method and finally putting in the effort. He must understand the relationship of man and his surroundings or the universe and use the method of chi to practice. He must be humble and persistent in his practice. Slowly, rootedness will result and the method of practicing be understood. Understand the principles and be aware of the less obvious and unnoticeable aspects in slowing acquiring skill. Being rooted and having internal force can never be observed externally. They can be accomplished through correct method. In practicing the movement and developing the internal force, the joints of the body must be loosened and yet linked. The whole body is relaxed and is not easily pushed over by an opponent. Substantiality is distinguished from insubstantiality. Aim to be flexible and pliable like a snake whose tail will come in to help if you attack the head, or vice versa or whose tail and head will assist when the center is attacked. Be responsive to consciousness (or intent), then tranquility and pliability can be achieved. It is easier to lift off a 200 katies iron rod than to lift up a 100 katies iron chain. This illustrates the principles of thoroughly relaxed joints.

Students must also understand the application of yin and yang in the movements and push hand exercises. Yin and Yang principles are in Tai Chi which encompasses the universe: all movements whether divided according to upper and lower body, right and left, front and back, internal and external must not deviate from the principles of substantiality and insubstantiality. Moving and stillness alternate continuously: Yin does not part from Yang and vice versa. When Yang moves, Yin also moves and vice versa. This principle must be understood when practicing the set movements. The body and the character is trained together as is the acquisition of the Tao and the art. Tao is likened to yin while the art or skill is the yang. Yang is evolved from yin and yin’s completion.

Being relaxed, stillness and being rooted become yin components. Neutralization of force forms the basic foundation where no strength is used. Stillness is like that of the mountain. No change is seen but it is capable of a lot of changes. The founder has said, "Tao is the basis, art is consequential." One must therefore acquire Tao but learning not to resist, for only then will the body learn to be obedient. In attacking and defending, one must understand the method, then acquire insubstantiality and quietude. Only then will the defense be solid. Attacking will also be successful as one is naturally comfortable. In pushing hands exercise, one must learn to achieve non-resistance and stickiness. Having achieve stickiness, then one can achieve the ability to neutralize force. With adequate reserves, the neutralizing ability is applied with an involuntary exertion of internal force.

13) Question: What importance should respect for the teacher and moral aspect have for the martial arts student?

Answer: 
In the present day, science is very advanced affecting all aspects of human endeavor day by day. This gives rise to stress and keen competition in business having a telling effect on the spirit. This is a common malady. This is why Tai Chi an ancient art, is popular and a common practice. It has no secrets. It is equitable to all as it discriminates against no student. But students often commit errors in practicing the art.

Students should bear in mind the following pointers:
1) Respect the teacher and accept the philosophy or Tao of the art;
2) Be honest and do not take unfair advantage;
3) Be conscientious and serious, think, observe, and feel or being aware during practice;
4) Progress step by step;
5) Be humble and practice constantly; and
6) Follow all principles mentioned earlier when practicing by themselves 


วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กินเจอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด



ขณะที่เขียนนี้ก็อยู่ในระหว่างเทศกาลกินเจ ปี ๒๕๕๕ ครับ ก็เขียนตามเทศกาลกันไปครับ
คนทั่วไปเข้าร่วมเทศกาลกินเจ ก็เพื่อต้องการได้รับประโยชน์ที่ต่างๆกันไป เช่น ต้องการงดเว้นเนื้อสัตว์ ก็จะได้บุญในลักษณะของการให้ทาน (ให้ชีวิต) บางคนก็หวังให้มีโชคดีจากเทพเจ้า บางคนก็เพื่อรักษาสุขภาพ บางคนก็เพื่อรักษาศีลอื่นๆ เพิ่มเติมไประหว่างเทศกาลด้วย

การเข้าร่วมเทศกาลกินเจนี้ สำหรับผมแล้ว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ผมคิดว่า ควรที่จะมาดูแลกันในระดับจิตมากกว่าครับ การกินเจนี้ ถือเป็นการสร้างพลังจิต สร้างบารมี เป็นการตั้งสัจบารมี อธิษฐานบารมี อย่างหนึ่ง ซึ่งเราต้องตั้งใจ ที่จะงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ และรักษาศีลอะไรก็ว่าไป ซึ่งเราต้องทำให้ได้

ระหว่างที่เรากำลังอยู่ในช่วงทานเจนั้น ก็ใช้สติในการเฝ้าดูจิตใจของเรา ว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เวลามีสิ่งเร้าต่างๆ ใช้พลังจิตต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้เราผิดสัจจะได้ ทำได้อย่างนี้จึงจะเกิดประโยชน์และได้อานิสงส์สูงสุดในการถือศีลกินเจครับ

แต่สิ่งที่ผมเห็นในปัจจุบันคือ กินเจกันเก้าวัน พอเลิกเจก็พากันทานเหล้าฉลองเมามาย สร้างบาปมากกว่าสร้างบุญครับ

สวัสดีครับ

ขอบคุณภาพจาก TheTrippacker.com

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ปัวะโปย (擲筊)คำทำนายจากเทพเจ้าที่เราคุ้นเคย


ฉันจะได้แต่งงานในปีนี้หรือเปล่า? กระเป๋าสตางค์ที่หายไปจะหาเจอหรือเปล่า? จะเปลี่ยนงานใหม่ดีไหม? ปีนี้จะได้บ้านหลังใหม่หรือเปล่า? จะหายจากโรคที่เป็นอยู่หรือเปล่า? คำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ความมั่งคั่ง อาชีพ และความรัก เหล่านี้ เมื่อไม่มีทางออก จะถูกตั้งคำถามไปยังเทพเจ้าที่เรานับถือ และได้รับการแนะนำจากเทพเจ้าผ่านการเสี่ยงทาย ที่เรียกว่า “โปย” (筊) ซึ่งเป็นชิ้นไม้สีแดง รูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ประกบกันสองชิ้น ด้านหนึ่งมีลักษณะโค้งมน (ด้านหยิน) ส่วนอีกด้านมีลักษณะเรียบ (ด้านหยาง) ซึ่งเมื่อเราไป ตามศาลเจ้า หรือวัดจีน มักจะได้ยินเสียงไม้คู่นี้ ดังกระทบพื้นคู่กับเสียงเขย่ากระบอกเซียมซี อยู่เป็นประจำ 

ขั้นตอนในการใช้โปยนั้น อาจจะแตกต่างกันไปตามความเชื่อของท้องถิ่นบ้าง แต่ในการอ่านผลของการเลี่ยงทายหลังจากโยนโปยแล้ว จะมีการอ่านที่เป็นสากลเหมือนกัน แต่ก่อนที่เราจะเสี่ยงทายนั้น ผมมีข้อแนะนำ 2 ข้อ ซึ่งจะมีผลในความแม่นยำของการเสี่ยงทาย ดังนี้ครับ

ศรัทธาและออกจากใจ - คุณต้องมีความศรัทธาในพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า มีความเชื่อในสิ่งที่คุณจะถาม เชื่อในคำตอบที่จะได้รับ ถ้าคำถามนั้นไม่มีพลังความเชื่อ หรือออกจากใจของเราจริงๆ ผลการทำนายจะมีความแม่นยำลดลงครับ

หาศาลเจ้าที่เหมาะสม - แนะนำให้หาศาลเจ้าหรือวัดที่เรานับถือศรัทธา ซึ่งจะมีผลทำให้เรารู้สึกสบายใจในการไปเสี่ยงทายครับ 

เมื่อพร้อมที่จะโยนโปยเสี่ยงทาย ให้เราโค้งคำนับเทพเจ้า พร้อมกล่าวบอกชื่อของเรา และตั้งคำถาม ถือโปยด้วยสองมือ ยกขึ้นสูงประมาณระดับสายตา แล้วโยนลงพื้นเพื่อดูผล การเสี่ยงทาย ที่นี้มาดูผลการเสี่ยงทายของไม้ทั้งสองชิ้นกันครับ 

เชี่ยวโปย
 หงาย - หงาย เรียก เชี่ยวโปย (笑筊) 
หมายถึง คำถามนั้นไม่สามารถให้คำตอบได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคำถามคลุมเครือ หรือแปลได้ว่าเทพเจ้ากำลังยิ้มหัวเราะอยู่ เพราะเราถามในคำถามที่เรารู้คำตอบอยู่แล้ว ให้เราพิจรณาเปลี่ยนคำถามใหม่ให้ชัดเจนขึ้น หรือถ้าเป็นการเสี่ยงเซียมซี ให้ทำการเสี่ยง ไม้เซียมซีใหม่ แล้วโยนโปยถามอีกครั้งครับ

อิ้นโปย หรือ เส้งโปย

คว่ำ - หงาย เรียก เส้งโปย(聖筊)หรือ อิ้นโปย (允筊)
หมายถึง ใช่ ได้ ถูกต้อง ถ้าเป็นเซียมซี หมายถึงไม้เซียมนี้อันนี้ถูกต้องแล้ว

อิมโปย หรือ ข่าวโปย


คว่ำ - คว่ำ เรียก ข่าวโปย (哭筊) หรืออิมโปย (陰筊)
หมายถึง ไม่ใช่ ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเซียมซี หมายถึงไม้เซียมนี้อันนี้ไม่ถูกต้อง ต้องทำการเสี่ยงอีกครั้ง 

การใช้โปย นอกจากจะใช้คู่กับเสี่ยงเซียมซีแล้ว ยังใช้ในการเสี่ยงทายพิธีกรรมทาง ศาสนาเต๋าในศาลเจ้าอีกด้วย เช่นการเสี่ยงทายเครื่องเซ่นไหว้ หรือเสี่ยงทายเวลาในการเริ่ม ทำพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมักจะโยนโปยกันสามครั้ง เพื่อให้ผลการเสี่ยงทายตรงกัน

การขอคำแนะนำจากเทพเจ้าที่เรานับถือศรัทธา ถือได้ว่าเป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่งใน การพิจรณาตัดสินทางเดินของเราในบางครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ พิจรณาปัญหาต่างๆด้วยปัญญา ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี ถึงเราไม่ต้องอ้อนวอนเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะต้องช่วยเราแน่นอนครับ

 หมายเหตุ - คำอ่านภาษาจีนผู้เขียนใช้สำเนียงฮกเกี้ยน โดยมีอักษรจีนกำกับ